การแบ่ง Class ของเพาเวอร์แอมป์
วันนี้ พอจะมีเวลาว่าง ก็เลยเขียนบทความ เรื่องเครื่องขยายเสียงมาเล่าสู่กันอ่านพยายามจะหลีกเลี่ยง ศัพย์ทางเทคนิค เรามาเริ่มเลยว่าเครื่องขยาย เขาแบ่งกันอย่างไรทางอิเล็คโทรนิค เครื่องเสียงมีคลาส (class) ต่าง ๆ ซึ่งบ่งบอกถึงรูปแบบของอุปกรณ์เสียงและวิธีการทำงานของมัน คลาสของเครื่องเสียงมีผลต่อคุณภาพเสียงและประสิทธิภาพของอุปกรณ์เหล่านั้น นี่คือคลาสหลักที่คุ้นเคยในเครื่องเสียง: เขาแบ่งกันเป็น Class กันครับก็มีดังนี้ครับ 1. **Class-A Amplifiers (คลาสเอ)**: 2. **Class-AB Amplifiers (คลาสเอบี)**: 3. **Class-D Amplifiers (คลาสดี)**: 4. **Class-H Amplifiers (คลาสเอช)**: 5. **Class-T Amplifiers (T-amp)**: 6. **Class-G Amplifiers (คลาสจี)**: 7. **Class-I Amplifiers (คลาสไอ)**: คลาสของเครื่องเสียงจะมีผลต่อคุณภาพเสียง ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และความเสถียรของอุปกรณ์ ผู้ใช้ควรเลือกคลาสที่เหมาะกับงานและความต้องการของพวกเขาเพื่อให้ได้ประสิทธิ ภาพที่ดีที่สุดจากเครื่องเสียงของพวกเขา |
วงจรเพาเวอร์แอมป์ Class A เครื่องขยายคลาส A มีความเพี้ยนต่ำสุด ความเที่ยงตรงสูง กินกำลังไฟมาก และใช้ไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงวงจรตลอดเวลา กำลังขยายไม่มากเนื่องจากกินไฟมากและมีความร้อนในขณะทำงานสูงมาก ต้องใช้ระบายความร้อนขนาดใหญ่ ให้คุณภาพเสียงหวานและเสียงดีมากกว่าคลาสอื่นๆทั้งหมดที่เคยมีมา ไม่คอยนิยมใช้ในเครื่องขยายกำลังสูงๆ มีใช้กับเครื่องเสียง Hi-End และกำลังขยายต่ำๆ
แอมป์Class Aไบอัสจ่ายกระแสให้กับทรานซิสเตอร์ขยายอยู่ตลอดเวลาถึงแม้ว่าไม่มีการป้อนสัญญาณอินพุทเข้ามาก็ตาม ทรานซิสเตอร์ก็ทำงานตลอด จึงทำให้ทรานซิสเตอร์เกิดความร้อนสะสมมากขึ้นตลอดเวลา เนื่องจากมีการจ่ายกระแสให้กับทรานซิสเตอร์อยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ได้กำลังขยายไม่สูงมากนัก แต่มีทำให้มีความผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงต่ำมาก ให้รายละเอียดของเสียงได้ดีมาก วงจรขยายเครื่องเสียงClass B วงจรขยายเครื่องเสียง CLASS AB วงจรขยายเสียง Class D ข้อดีหลักของวงจรขยายเสียง Class D รวมถึง: 1. ประสิทธิภาพที่สูง:วงจร Class D มีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียงสูงมาก ซึ่งทำให้มีการสูญเสียพลังงานน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับวงจรขยายเสียงแบบอื่น ๆ 2. ขนาดเล็กและเบา:วงจร Class D มักมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เนื่องจากมีความจำเป็นในการใช้วงจรอัตโนมัติและการทำงานแบบดิจิทัล 3. น้อยที่สุดในการผลิตความร้อน: เนื่องจากการทำงานแบบดิจิทัล ทำให้มีการสร้างความร้อนน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับวงจรขยายเสียงแบบ Analog อื่น ๆ 4. การใช้พลังงานต่ำ: Class D Amplifiers มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ดี ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในแอปพลิเคชันที่ต้องการประหยัดพลังงาน วงจรขยายเสียง Class D ทำงานโดยการทำให้สัญญาณกระแสไฟฟ้าของเสียงถูกแปลงเป็นสัญญาณ PWM (Pulse Width Modulation) ที่ถูกควบคุมด้วยความถี่ที่สูงขึ้นแทนการใช้การเปลี่ยนแปลงขนาดของกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะถูกกรองเพื่อให้ได้สัญญาณเสียงที่เหมือนกับข้อมูลเสียงต้นฉบับที่ต้องการขยายเสียงได้ที่สุด การใช้เทคนิคการทำงานแบบดิจิทัลนี้ทำให้ Class D Amplifiers มีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นเสียงที่สูงและมีขนาดที่เล็กที่สุด. ความเป็นที่นิยมของ Class D Amplifiers นำไปสู่การใช้งานในหลายแอปพลิเคชัน เช่น ระบบเสียงรถยนต์ ระบบเสียงที่ใช้ในที่ประชุม ระบบเสียงบ้าน และอุปกรณ์เสียงพกพาอื่น ๆ วงจรขยายเสียง Class G
|
- ปุ่มปรับต่างๆของมิกเซอร์ อินพุทแจ๊ค (Input Jacks) ทำหน้าที่รับสัญญาณจากไมโครโฟน หรือจากเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เป็นไลน์ (line) ตำแหน่งมักอยู่ด้านบนสุดของมิกเซอร์ ลักษณะของเต้ารับสัญญา...
-
กำลังวัตต์ของเพาเวอร์แอมป์และลำโพง ให้ถูกกับงาน 1.ก่อนอื่นให้คุณดูขอมูลจำเพาะของลำโพงความต้านทานที่กำหนด โดยปกติแล้วความต้านทานจะเป็น 2, 4, 8 หรือ 16 โอห์ม 2.ในข้อถัดไปให้ไปดูกำลัง...
-
Yamaha - The Sound Business Choice Have you ever wished there was an easy way to improve the sound quality of background music, speech and announcements that fill the spaces you sp...
-
ระบบเสียง PAหลักๆ ระบบประกอบไปด้วย
Knowledge Audio ความรู้เรื่องเสียง