ราคา 17,000 บาท |
NPE E-4000A
|
ราคา 29,500 บาท
|
|
FREQ : 10Hz - 20KHz
DAMPING FACTOR : >300 @ 8OHM 1KHz ; CLASS : H
OUTPUT : 900Wrms@8OHM, 1500Wrms@4OHM, 2200Wrms@2OHM
3000 Wrms @ Bridge 8OHM, 4400Wrms @ Bridge 4OHM
DIMENSIONS (WxHxD) : 483x133x508 MM. 3U ; 40.6KG
-
Code : E-2000 NPE E-2000 เพาเวอร์แอมป์ 350 วัตต์ 8 โอห์ม 600 Watt 4 OHM 1100 W Bridge 8 Ω 1700 Wrms @ BRIDGE 4 OHM
-
Code : E-3000 NPE E-3000 เพาเวอร์แอมป์ 550 วัตต์ 8 โอห์ม 900 Watt 4 OHM 1800 W Bridge 8 Ω 2800 Wrms @ BRIDGE 4 OHM
ราคา 21,000 บาท -
Code : E-4000 NPE E-4000 เพาเวอร์แอมป์ 900 วัตต์ 8 โอห์ม CLASS : H 1500 Watt 4 OHM 2200 W rms @ 2 OHM 3000 W Bridge 8 Ω 4200 Wrms @ BRIDGE 4 OHM
ราคา 27,500 บาท -
Code : E-4000 II NPE E-4000 II เพาเวอร์แอมป์ 900 วัตต์ 8 โอห์ม CLASS : H1500 Watt 4 OHM2200 W rms @ 2 OHM3000 W Bridge 8 Ω4400 Wrms @ BRIDGE 4 OHM
ราคา 29,500 บาท -
Code : E-5000 II NPE E-5000 II เพาเวอร์แอมป์ 1100 วัตต์ 8 โอห์ม CLASS : H1800 Watt 4 OHM2600 W rms @ 2 OHM3600 W Bridge 8 Ω5200 Wrms @ BRIDGE 4 OHM
ราคา 35,000 บาท -
Code : E-5000A NPE E-5000A เพาเวอร์แอมป์ 1100 วัตต์ 8 โอห์ม CLASS : H1800 Watt 4 OHM2600 W rms @ 2 OHM3600 W Bridge 8 Ω5200 Wrms @ BRIDGE 4 OHM
ราคา 35,000 บาท
สเป็ค | NPE E-4000A |
การตอบสอนงความถี่ | 10Hz-20kHz (0,- 0.5dB) |
ระดับเสียงรบกวน Hum & Noise : 20Hz-20KHz | <-58dB |
Corosstalk สัญญาณข้ามแชนนอน@20Hz-20kHz 8Ω | >45dB |
Damping Factor:@ 1kHz 8Ω | >300 |
ความต้านทานอินพุต : | 20kΩ Balanced, 10kΩ Unbalanced |
Gain ความไว Input ที่ 4Ω | 0db(0.775rms), 32dB, 35dB |
โวลต์อินพุตสูงสุด | 10.5Vrms |
CMRR: 20Hz-20kHz | >45dB |
DC offset : | <±10mV |
Low Pass Filter : | OFF, 100Hz, 150Hz, 24dB/Octave |
Low Cut Filter : | OFF, 30Hz, 50Hz, 24dB/Octave |
มี ลิมิตเตอร์ : | มี |
กำลังขับ เอาต์พุท ที่ 20Hz-20kHz,THD+N | |
- 8Ω/ 2 แชนนอน : | 800วัตต์rms <0.1% |
- 4Ω/ 2 แชนนอน : | 1,200วัตต์rms <0.2% |
- 2Ω/ 2 แชนนอน : | 2,000วัตต์rms <0.3% |
- 8Ω/ บริดจ์ โมโนแชนนอน : | 2,400วัตต์rms <0.2% |
- 4Ω/ บริดจ์ โมโนแชนนอน : | 4,000วัตต์rms <0.3% |
กำลังขับ เอาต์พุท ที่ 1kHz,THD+N | |
- 8Ω/ กำลังขับ 2 แชนนอล : | 900 วัตต์rms <1% |
- 4/ กำลังขับ 2 แชนนอล : | 1,500 วัตต์rms <1% |
- 2/ กำลังขับ 2 แชนนอล : | 2,200 วัตต์rms <1% |
- 8/ บริดจ์ โมโนแชนนอน : | 3,000 วัตต์rms <1% |
- 4/ บริดจ์ โมโนแชนนอน : | 4,400 วัตต์rms <1% |
Indicator | SIG(Output>+1.5dBu),CLIP |
ชนิดวงจรเอาต์พุต Class | Class H |
Signal Indicator: | >1dB ,Clip |
Power ON Time: | 3-4Sec |
Power Requirement: | 220Vac 50Hz |
Power Consumption:@220V 50Hz 4Ω: | 3,850VA |
Power Idle:@220v 50Hz: | 160VA |
เซอร์กิตเบรกเกอร์ AC | 20A |
ระบบระบายความร้อน | พัดลมข้างใน ระบายด้านหน้าไปด้านหลัง Air flow |
ดีซี ฟิวส์ (Internal Fuse Clip): | ต่ำ 15A , สูง 20A |
Weight: Net/pack | 40.5kg/89.32lbs |
Dimensions W x H x D: | 483x133x508 mm. |
-
-
ราคา 14,500 บาท ราคา 10,500 บาท -
ราคา 12,900 บาท ราคา 9,900 บาท -
ราคา 9,200 บาท -
ราคา 10,000 บาท -
ราคา 16,500 บาท -
ราคา 24,000 บาท ราคา 19,000 บาท -
ราคา 25,000 บาท ราคา 22,000 บาท -
ราคา 8,500 บาท -
ราคา 25,000 บาท ราคา 22,000 บาท -
ราคา 15,000 บาท -
ราคา 14,500 บาท ราคา 12,800 บาท -
ราคา 15,900 บาท ราคา 12,800 บาท -
ราคา 16,500 บาท ราคา 13,900 บาท -
ราคา 18,500 บาท ราคา 15,890 บาท -
ราคา 21,500 บาท -
ราคา 25,000 บาท ราคา 23,500 บาท -
ราคา 26,000 บาท ราคา 24,000 บาท -
ราคา 22,000 บาท ราคา 19,500 บาท -
ราคา 17,000 บาท -
ราคา 21,000 บาท -
ราคา 27,500 บาท -
ราคา 29,500 บาท -
ราคา 29,500 บาท -
ราคา 35,000 บาท -
ราคา 35,000 บาท -
ราคา 12,500 บาท ราคา 9,800 บาท -
ราคา 18,500 บาท ราคา 16,500 บาท -
ราคา 26,500 บาท ราคา 23,500 บาท
-
-
เพาเวอร์แอมป์: หัวใจของระบบเสียงคุณภาพสูงบทนำเพาเวอร์แอมป์ (Power Amplifier) เป็นอุปกรณ์สำคัญในระบบเสียงที่ช่วยเพิ่มกำลังสัญญาณเสียงจากเครื่องเล่นให้สามารถขับลำโพงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นในระบบเครื่องเสียงบ้าน โรงภาพยนตร์ งานแสดงสด หรือในรถยนต์ การเลือกและใช้งานเพาเวอร์แอมป์ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเพาเวอร์แอมป์ในด้านต่างๆ ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภท คุณสมบัติที่ควรพิจารณา ไปจนถึงการบำรุงรักษา หลักการทำงานของเพาเวอร์แอมป์เพาเวอร์แอมป์ทำหน้าที่เพิ่มกำลังสัญญาณเสียงที่ได้รับจากแหล่งกำเนิด เช่น เครื่องเล่น CD, โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องดนตรี ให้มีความแรงเพียงพอที่จะขับลำโพงได้ หลักการทำงานพื้นฐานคือการรับสัญญาณอินพุต (Input Signal) ที่มีแรงดันต่ำ และขยายสัญญาณดังกล่าวออกมาเป็นสัญญาณเอาท์พุต (Output Signal) ที่มีแรงดันและกระแสสูงขึ้น การขยายสัญญาณนี้ต้องอาศัยวงจรขยายเสียง (Amplification Circuit) ที่ประกอบด้วยส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น ทรานซิสเตอร์ (Transistor), ไอซี (IC: Integrated Circuit) และอุปกรณ์อื่นๆ เพาเวอร์แอมป์ที่ดีจะต้องสามารถขยายสัญญาณได้โดยไม่เกิดการบิดเบือน (Distortion) และมีความเที่ยงตรงสูง ประเภทของเพาเวอร์แอมป์เพาเวอร์แอมป์สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและเทคโนโลยีที่ใช้ในการขยายเสียง ดังนี้ 1. เพาเวอร์แอมป์ Class A เพาเวอร์แอมป์ Class A ทำงานโดยการใช้ทรานซิสเตอร์หรือหลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) ที่ทำงานตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณอินพุตเข้ามา ข้อดีคือมีการบิดเบือนต่ำและคุณภาพเสียงดีเยี่ยม แต่ข้อเสียคือมีประสิทธิภาพต่ำและร้อนง่าย 2. เพาเวอร์แอมป์ Class B เพาเวอร์แอมป์ Class B ใช้ทรานซิสเตอร์สองตัวที่ทำงานสลับกัน โดยทรานซิสเตอร์แต่ละตัวจะทำงานเฉพาะครึ่งหนึ่งของสัญญาณ ข้อดีคือมีประสิทธิภาพสูงกว่า Class A แต่ข้อเสียคืออาจมีการบิดเบือนข้ามจุดศูนย์ (Crossover Distortion) 3. เพาเวอร์แอมป์ Class AB เพาเวอร์แอมป์ Class AB เป็นการผสมผสานระหว่าง Class A และ Class B โดยให้ทรานซิสเตอร์ทำงานร่วมกันเพื่อขจัดปัญหาการบิดเบือนข้ามจุดศูนย์ แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพที่สูงกว่า Class A ไว้ 4. เพาเวอร์แอมป์ Class D เพาเวอร์แอมป์ Class D ใช้เทคโนโลยีการขยายเสียงแบบดิจิตอล (Digital Amplification) โดยการเปิดและปิดทรานซิสเตอร์ด้วยความถี่สูง ทำให้มีประสิทธิภาพสูงและมีความร้อนต่ำ แต่ต้องมีการกรองสัญญาณออกเพื่อลดการบิดเบือนที่อาจเกิดขึ้น คุณสมบัติที่ควรพิจารณาในการเลือกเพาเวอร์แอมป์1. กำลังขับ (Power Output)กำลังขับของเพาเวอร์แอมป์ต้องเหมาะสมกับลำโพงที่ใช้ โดยปกติจะวัดเป็นวัตต์ (Watt) ควรเลือกเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับเพียงพอเพื่อให้ลำโพงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 2. ความต้านทาน (Impedance) ความต้านทานของลำโพงและเพาเวอร์แอมป์ควรสอดคล้องกัน เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายและให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ความต้านทานปกติจะอยู่ที่ 4, 6 หรือ 8 โอห์ม (Ohm) 3. การบิดเบือน (Distortion) ค่า THD (Total Harmonic Distortion) เป็นตัวบ่งชี้ระดับการบิดเบือนของสัญญาณเสียง ค่าที่ต่ำกว่าแสดงถึงการบิดเบือนที่น้อยและคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น 4. การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) การตอบสนองความถี่ของเพาเวอร์แอมป์ควรครอบคลุมช่วงความถี่ที่กว้างเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ชัดเจนและสมจริง 5. ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิภาพของเพาเวอร์แอมป์เป็นตัวบ่งชี้ว่าพลังงานที่ได้รับเข้าไปถูกแปลงเป็นสัญญาณเสียงได้มากน้อยเพียงใด ประสิทธิภาพที่สูงหมายถึงการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยและการปล่อยความร้อนต่ำ การบำรุงรักษาเพาเวอร์แอมป์เพื่อให้เพาเวอร์แอมป์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ควรปฏิบัติตามแนวทางการบำรุงรักษาดังนี้ 1. การทำความสะอาด ควรทำความสะอาดภายนอกของเพาเวอร์แอมป์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน 2. การระบายความร้อน ควรตรวจสอบและทำความสะอาดระบบระบายความร้อน เช่น พัดลมและแผงระบายความร้อน เพื่อให้เพาเวอร์แอมป์ไม่เกิดความร้อนสะสมที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย 3. การตรวจสอบการเชื่อมต่อ ควรตรวจสอบการเชื่อมต่อของสายสัญญาณและสายลำโพงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการหลวมหลุดหรือเสียหาย 4. การทดสอบการทำงาน ควรทดสอบการทำงานของเพาเวอร์แอมป์เป็นระยะ ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหาในการขยายเสียง หากพบปัญหาควรรีบดำเนินการแก้ไขทันที สรุปเพาเวอร์แอมป์เป็นหัวใจสำคัญของระบบเสียงที่มีคุณภาพ การเลือกและใช้งานเพาเวอร์แอมป์ที่เหมาะสม รวมถึงการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ระบบเสียงของคุณสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การทำความเข้าใจในหลักการทำงาน ประเภท และคุณสมบัติต่างๆ ของเพาเวอร์แอมป์จะช่วยให้คุณสามารถเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการและใช้งานได้อย่างเหมาะสมที่สุด |
กำลังขับของเพาเวอร์แอมป์ (Power Output): ปัจจัยสำคัญในระบบเสียงบทนำกำลังขับ (Power Output) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกและใช้งานอุปกรณ์เสียง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องขยายเสียง (Amplifier), ลำโพง (Speaker), หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณเสียง กำลังขับมีบทบาทสำคัญในการกำหนดคุณภาพเสียง ความชัดเจน และความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแนวคิดพื้นฐานของกำลังขับ วิธีการวัดผล ประโยชน์และข้อควรระวังในการเลือกใช้งาน รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ความหมายของกำลังขับกำลังขับ หมายถึง ปริมาณพลังงานที่อุปกรณ์ขยายเสียงสามารถส่งออกไปยังลำโพง เพื่อสร้างเสียงที่ต้องการ กำลังขับถูกวัดเป็นวัตต์ (Watt) และเป็นตัวบ่งชี้ว่าลำโพงหรืออุปกรณ์เสียงสามารถสร้างเสียงที่มีความดังมากน้อยเพียงใด ประเภทของกำลังขับ1. กำลังขับต่อเนื่อง (Continuous Power Output)บางครั้งเรียกว่า RMS Power (Root Mean Square) เป็นค่าที่แสดงถึงปริมาณพลังงานที่อุปกรณ์ขยายเสียงสามารถส่งออกได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลานาน โดยไม่ทำให้อุปกรณ์เสียหาย และคุณภาพเสียงไม่บิดเบือน 2. กำลังขับสูงสุด (Peak Power Output) เป็นค่าที่แสดงถึงปริมาณพลังงานสูงสุดที่อุปกรณ์ขยายเสียงสามารถส่งออกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่อุปกรณ์จะเสียหาย วิธีการวัดกำลังขับการวัดกำลังขับต่อเนื่อง (RMS Power)การวัดกำลังขับต่อเนื่องเป็นวิธีที่แพร่หลายที่สุดและเป็นมาตรฐานในการวัดกำลังขับของเครื่องขยายเสียงและลำโพง วิธีการวัดนี้จะทดสอบการส่งพลังงานในระยะยาวเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและเสถียร การวัดกำลังขับสูงสุด (Peak Power) การวัดกำลังขับสูงสุดจะทดสอบพลังงานที่อุปกรณ์สามารถส่งออกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งจะบ่งบอกถึงความสามารถในการรองรับพลังงานสูงชั่วคราว เช่น เสียงเบสที่แรงมากๆเสียงเริ่มแตก ประโยชน์ของกำลังขับที่เหมาะสม1. คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นการเลือกอุปกรณ์ที่มีกำลังขับเหมาะสมจะช่วยให้ได้คุณภาพเสียงที่ชัดเจน สมจริง และปราศจากการบิดเบือน2. ความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่กำลังขับที่เพียงพอจะช่วยให้เสียงสามารถกระจายไปทั่วพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการใช้งานในพื้นที่กว้าง เช่น คอนเสิร์ตหรือโรงภาพยนตร์ 3. ป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์ การใช้งานอุปกรณ์ที่มีกำลังขับเหมาะสมจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากการใช้งานที่เกินกำลังขับสูงสุดของอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการเลือกใช้งาน1. การเลือกกำลังขับที่เกินความจำเป็นการเลือกอุปกรณ์ที่มีกำลังขับสูงเกินไปอาจทำให้ลำโพงหรืออุปกรณ์อื่นๆ เกิดความเสียหายจากการรับพลังงานที่มากเกินไป นอกจากนี้ยังทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น 2. การจับคู่กับลำโพง ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์ขยายเสียงมีกำลังขับที่สอดคล้องกับความต้องการของลำโพง การจับคู่ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ลำโพงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรือเกิดความเสียหาย 3. ความสมดุลระหว่างกำลังขับและการบิดเบือน ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีกำลังขับสูงพอ แต่ไม่ทำให้เกิดการบิดเบือนของเสียงในระดับที่ไม่พึงประสงค์ การตั้งค่าที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกำลังขับ1. แอมป์คลาส D (Class D Amplifier)แอมป์คลาส D เป็นเทคโนโลยีการขยายเสียงที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากใช้วิธีการสลับสัญญาณด้วยความถี่สูง ทำให้สามารถส่งพลังงานได้มากขึ้นในขณะที่ลดการสูญเสียพลังงานในรูปของความร้อน 2. เทคโนโลยีการขยายเสียงดิจิตอล (Digital Amplification) การขยายเสียงดิจิตอลใช้การประมวลผลสัญญาณดิจิตอลในการขยายเสียง ทำให้สามารถควบคุมและปรับแต่งเสียงได้อย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพสูง 3. เพาเวอร์แอมป์ไฮบริด (Hybrid Power Amplifier) เพาเวอร์แอมป์ไฮบริดเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีการขยายเสียงแบบต่างๆ เช่น การใช้หลอดสุญญากาศร่วมกับทรานซิสเตอร์ เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีและมีประสิทธิภาพ สรุปกำลังขับเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกอุปกรณ์เสียง การทำความเข้าใจในประเภทของกำลังขับ วิธีการวัดผล และการเลือกใช้งานที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการและให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด นอกจากนี้ การรักษาความสมดุลระหว่างกำลังขับและการบิดเบือนของเสียงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ระบบเสียงของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืน |